ทำความรู้จัก พระฉัพพันธรังษี องค์พระพุทธเจ้า!!!

ฉัพพันธรังสีคืออะไร?

“ฉัพพันธรังสีหมายถึงสีที่แผ่ออกมาจากพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโพธิสมภาร สามารถจำแนกได้เป็น 6 สีด้วยกัน” ดังนี้

• สีนีละ หรือสีเขียวเหมือนดอกอัญชัน
• สีปีตะเป็นสีเหลืองนวล
• สีโลหิตะสีแดงคล้ายดอกชบาหรือ ดอกทับทิม
• สีโอทาตะ จะมีลักษณะเป็นสีขาวเป็นเงินยวง เหมือนดอกพุทธหรือสังข์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในศาสนา
• สีแสด คล้าบกับสีของดอกเทียนฟ้า
• สีประภัสสร เป็นสีทั้งห้าที่ถูกนำมารวมกัน เป็นผลึกแก้วใส

เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงมีฉัพพันธรังสีมาก เอาตัวเลขออก

ฉัพพันธรังสีทั้ง 6 นี้ไม่ได้เกิดจากอภินิหารหรือปาฏิหาริย์แต่อย่างใด หากแต่ชแสดงออกถึงปณิธานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยฉัพพันธรังสีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแสดงออกถึงคุณธรรม ศีลธรรม ขององค์พระสัมมา ทั้งยังรวมไปถึงปัญญาและบารมีขององค์บรมศาสดาอีกด้วยครับ

“อนึ่งในอรรถกถาธรรมบทได้เปรียบเอาไว้ว่า แม้แสงของมหาพรหมจะแผ่รัศมีได้ไกลมากเพียงใด แต่ก็เปรียบได้กับแสงหิ่งห้อย เมื่อได้เปรียบเทียบกับฉัพพันธรังสีขององค์พระสัมมาสัมโพธิญาณ “ขันธปริตรสูตร กับพระพุทธเจ้าที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรเรามีคำตอบ”

การแผ่ฉัพพันธรังสีจะใช้กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แต่หากเป็นพระสงฆ์ หรือสมณะเพศจะสามารถเรียกว่าเตโชรังสี ซึ่งบางรูปได้มาจากการบำเพ็ญ การเข้าฌาน เป็นต้น โดยเตโชรังสีนี้จะใช้กับพระอรหันต์ หรือสาวกขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเองครับ”

ปณิธานของพระบรมศาสดา

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีปณิธานในการสั่งสมบุญบารมีจนครบถ้วนถึง 30 ทัศน์ โดย พระองค์มีปณิธานแน่วแน่นั้นมุ่งตรงต่อพระโพธิญาณเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเน้นให้เหล่าสรรพสัตว์ข้ามพ้นวัฎฎะสงสารไปพร้อมกับพระพุทธองค์ให้มากที่สุด”

นอกจากนี้หากกล่าวถึงปณิธานอันเป็นหัวใจหลักแล้ว พระสัมมาสัมพุทธองค์ยังส่งได้ตรัสถึงโอวาทปาฏิโมกข์ 3 อันเป็นหัวใจหลักของพระพุทธศาสนาโดยมีใจความดังนี้ครับ

1. การละแล้วซึ่งความชั่วทั้งปวง
2. การทำความดีให้ถึงพร้อมโดยให้ถึงพร้อมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี และภาวนาบารมี
3. สุดท้าย การทำจิตใจให้ผ่องใส เบิกบาน อยู่เสมอ เพื่อก่อเกิดและสั่งสมเสบียงบุญของตนเองในการเดินทางสู่เส้นทางพระนิพพาน

พระพุทธเจ้ามีกี่องค์?

ในโลกแห่งความสับสนวุ่นวายนี้ได้ก่อกำเนิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมามากแล้วถึง 28 พระองค์ โดย องค์พระโคดมหรือพระพุทธเจ้าแห่งราชวงศ์ ศากยวงศ์ นับเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 28 แต่หากนับกันในภัทรกัปป์นี้แล้วพระองค์ยังจัดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปก่อนสุดท้าย อีกด้วยครับ

“การจำแนกองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นจะมี การจำแนก แบ่งพระพุทธเจ้าได้เป็น 2 ประเภท โดยประเภทแรกนั้น จะเป็นพระพุทธเจ้าในอดีต และพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งพระพุทธเจ้าในภัทรกัปก่อนสุดท้ายนี้ ในภายภาคหน้าอนาคตพระองค์จะมีพระนามว่า สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นสมเด็จพระศรีอารย์ นั่นเองครับ”

บทสรุป

“ไม่เพียงแต่ฉัพพันธรังสีจะเป็นรัศมีที่แผ่กำจรกระจายออกมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากแต่ฉัพพันธรังสียังเปรียบได้กับความรู้แจ้งเห็นแล้วซึ่งความจริงในอมฤตธรรมขององค์พระบรมศาสดาอีกด้วยครับ ดังจะสังเกตเห็นได้จากเมื่อครั้นพระพุทธองค์ทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และยังไม่มีฉัพพันธรังสีที่ส่องสว่าง แต่ทว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้หลักอริยสัจ 4 อันเป็นความจริงที่ประเสริญทั้ง 4 ประการแล้ว เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ เพราะพระพุทธองค์กลับมีรังสีแผ่ออกมาจากพระองค์เองอีกด้วยครับ”

หัวใจหลักสำคัญของการมีฉัพพันธรังสี คือการสำเร็จแล้วซึ่งฌานอันได้แก่ปฐมฌาน 4 และอรูปฌาน ชั้น 4

เมื่อได้ฌานแล้วจึงจะได้ญาณตามลำดับครับ  ซึ่งส่วนใหญ่เตโชรังสีที่แผ่มาจากพระอรหันต์หลายรูป ล้วนแล้วแต่เกิดจากการบำเพ็ญ ภาวนา หรือการเข้ากรรมฐานทั้งสิ้น โดยหากใครอยากมีฤทธิ์ได้ฌานสมาบัติ จนถึงชั้นที่สามารถมองเห็ณฯเตโชรังสี ผู้เขียนแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมโดยการไปฝึกจิตในสถานปฏิบัติธรรมมากกว่า การปฏิบัติธรรมด้วยตนเองครับนั่นก็เพราะว่า นอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบแล้วยังเป็นการเสริมสร้าง พลังสมาธิและเพิ่มสติปัญญาให้มากขึ้นอีกด้วยครับ