เมื่อครั้นที่พระพุทธเจ้าทรงกำลังจะปรินิพพาน ได้มีประโยควลีหนึ่งได้ลั่นออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ “แต่ทว่ามีคนส่วนน้อยที่จะเข้าใจถึงแก่นธรรมพุทธโอวาทของพระองค์ที่ดังออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งบทความนี้มีเรื่องราวก่อนพระพุทธองค์จะปรินิพพานมาฝากกันครับ
พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน คืออะไร
“คำว่าพุทธ แปลความหมายถึงพระพุทธเจ้า เมื่อนำมารวมกันกับโอวาทจะกลายเป็นพุทธโอวาท ซึ่งหมายความถึงคำของพระพุทธเจ้าก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันปรินิพพานอีกด้วย” ตักบาตรประจำวันเกิดโดยเหตุการณ์นี้มีพระภิกษุซึ่งเป็นสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าบวชให้หรือเรียกว่าเอหิภิกขุอุปสัมปทาร่วมอยู่ด้วยครับ
พุทธโอวาทเกี่ยวข้องอย่างไร กับ พระอานนท์
ในตอนนั้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ทรงกล่าวกับพระเถระอย่างพระอานนท์ว่า “อานนท์! เพราะอบรมอิทธิบาทสี่มาอย่างดีแล้ว ทำจนแจ่มแจ้งแล้วอย่างเรานี้ ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งกัป คือ 120 ปี ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้” พระพุทธองค์ทรงตรัสเช่นนี้ถึง สามครั้ง แต่ทว่าพระอานนท์กับนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินเสียงของพระพุทธองค์อย่างไรอย่างนั้น ต่อจากนั้นพระพุทธองค์จึงได้กล่าวว่า “อานนท์ ! เธอไปพักผ่อนเสียบ้างเถิด เธอเหนื่อยมากแล้ว แม้ตถาคตก็จะพักผ่อนเหมือนกัน” พระอานนท์ได้ยินดังนั้นจึงหลีกไปพักผ่อนบริเวณ โคนต้นไม้อีกต้นหนึ่งครับ
เมื่อพระอานนท์สังเกตเห็นจึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้วถามว่า “พระองค์ผู้เจริญ ! โลกธาตุวิปริตแปรปรวนผิดปกติไม่เคยมีไม่เคยเป็น ได้เป็นแล้วเพราะเหตุอะไรหนอ?” ดังนั้นพระพุทธองค์เลยตรัสตอบไปว่า “อานนท์เอย! อย่างนี้แหละ คราใดที่ตถาคต ประสูติ ตรัสรู้ หมุนธรรมจักร ปลงอายุสังขาร และนิพพาน ครานั้นย่อมจะมีเหตุการณ์วิปริตอย่างนี้เกิดขึ้น” แล้วพระอานนท์ก็ร้องไห้ออกมา ท่านหมอบลงที่พระบาทแล้วได้กล่าวออกมาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ! ขอพระองค์อาศัยความกรุณาในข้าพระองค์และหมู่สัตว์ จงดำรงพระชนม์ชีพต่อไปอีกเถิด อย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย”
พระพุทธเจ้าได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวต่อออกมาอีกว่า “อานนท์เอย เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจ ตถาคตจะต้องปรินิพพาน ในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์! เราได้แสดงนิมิตต์โอภาส อย่างแจ่มแจ้งแก่เธอ พอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่าสิบหกครั้งแล้วว่า คนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดี ถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัป คือ ๑๒๐ ปีหรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้ แต่เธอหาเฉลียวใจไม่มิได้ทูลเราเลย เราตั้งใจไว้ว่าใน คราวก่อน ๆ นั้น ถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไป เราจะห้ามเสียสองครั้ง พอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอ แต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก” ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสตอบไปมากับพระอานนท์หลายครั้งจนในที่สุดพระอานนท์ได้ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นลงในที่สุด
ปัจฉิมโอวาทก่อนปรินิพพาน อย่างไร
ก่อนที่พระพุทธองค์จะปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสออกมาว่า “วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” ซึ่งแปลความได้ว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด” สิ้นคำตรัสพระพุทธองค์ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานทันที
เหตุการณ์หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลังจากนั้นพระมหากัสสปะได้ก้มลงกราบพระพุทธเจ้า แล้วจึงกล่าวออกมาว่า “ข้าแต่พระบรมครู ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าดำรงอยู่ในอริยภูมิ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ทำความผิดแม้แต่น้อยหนึ่ง ในพระบรมศาสดา ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ล่วงพระพุทธโอวาท ปฏิบัติตามธรรมของพระองค์ตลอดมา อนึ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาแก่ข้าพระบาทเป็นอย่างมาก แต่ข้าพระบาทมิได้อยู่ปฏิบัติพระองค์ ขอพระองค์จงทรงพระมหากรุณาโปรดอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าในบัดนี้เถิด” ต่อจากนั้นจึงทำให้เกิดไฟเผาพุทธสรีระของพระพุทธองค์จนเหลือแต่เพียงพระบรมสารีริกาธาตุครับ
จากนั้นบรรดากษัตริ์ย์มัลละทั้งหมดจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดมาใส่ลงในหีบทอง แล้วจึงนำไปรักษาในนครกุสินารา และได้นำเครื่องบริขารต่างๆอัญเชิญไปตามแคว้นต่าง ๆ ครับ ส่วนพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์แบ่งออกมาเป็น 8 ส่วนเท่ากันนั่นเองครับ
บทสรุป
นับได้ว่าการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของการสัจธรรม เพราะคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องเสียชีวิต หรือตายนั่นเองครับ “แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นคือเราจะทำความดีหรือกรรมดีใดใดให้โลกรับรู้ และยังประโยชน์ความผาสุกมาสู่มนุษย์ได้มากที่สุดครับ”