บทความนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจในความสำคัญของ “บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” หรือ “บทสวดธรรมจักร” ที่มีความหมายอันยิ่งใหญ่ในศาสนาและวัฒนธรรมของเรา ผ่านทางบทความนี้เรามีวัตถุประสงค์ที่จะแนะนำและเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาใน “บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ที่เป็นสิ่งที่คุณอาจกำลังมองหา ไม่ว่าจะเป็นความหมาย การใช้ในชีวิตประจำวัน หรือความเชื่อทางศาสนาที่สำคัญ กรุณาติดตามต่อเพื่อค้นพบข้อมูลที่น่าสนใจและแปลกใหม่ในบทความนี้ค่ะ
บทสวดธรรมจักร หรือ บทสวดธรรมจักรกัปวัตตสูตร คือการสวดมนต์ที่ถูกสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยพระสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีตำนานที่กล่าวกันมาว่า พระพุทธเจ้านั้นได้ทรงทำการบำเพ็ญทุกขกริยา ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไม่ไกลจากเมืองพาราณสี ในระหว่างนั้น พระองค์ทรงได้ตรัสรู้แล้วว่า ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าได้พบเห็นร่างกายที่งดงามของพรพุทธเจ้า และอริยสัจ 4 จึงเข้าไปต้อนรับพระพุทธเจ้า และมีการโต้ตอบธรรมกันในคืนนั้น หลังจากที่พระพุทธเจ้าสิ้นสุดคำสวดธัมมจักรกัปปวัตตสูตร พราหมณ์โกณฑัญญะเป็นคนแรกที่ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้รับการอุปสมบท ในวันรุ่งขึ้นในวันเพ็ญ ซึ่งเป็นกลางเดือนอาสาฬหะ หรือที่เรารู้จักกันว่า วันอาสาฬหบูชา จึงเป็นวันที่มีเหตุการณ์พระรัตนตรัยเกิดขึ้น คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
บทขัดคืออะไร
ในกระบวนการสวดเจริญพระพุทธมนต์ มีการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่กำหนดไว้ ว่าก่อนที่จะเข้าสวดบทสำคัญ จะมีขั้นตอนที่เรียกว่า “บทขัด” ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนสวด บทขัดเป็นบทอารัมภบท ที่ใช้เพื่อเกริ่นความ และอธิบายโดยเบื้องต้น เพื่อให้ผู้ฟังรู้ว่า บทที่จะสวดต่อมานั้น เกี่ยวข้องอย่างไร กับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีความสำคัญแบบไหน นอกจากนี้ยังช่วยให้เห็นภาพรวม ตั้งแต่ต้น
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ เมื่อมีการทำพิธีกรรมในทุกๆ งาน ก็จะมีการสวดหลายๆ บทที่เรียงต่อกัน ช่วงเวลาที่พระฉายบทขัด เป็นรูปเดียวกัน พระรูปอื่นที่ต้องการน้ำก็จะใช้ช่วงที่พระกำลังเกริ่นความ เพื่อพักการฉันน้ำ เเละเเก้ความกระหาย พร้อมที่จะสวดบทต่อไป บทขัด เเละคำสวดถูกเน้นต่อไปในเนื้อหาดังนี้
คำสวดบทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิตวา ตะถาคะโต
บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง
สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง
ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฎิปัตติ จะ มัชฌิมา
จะตูสวาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง
เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง
นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง
เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะฌามะ เส ฯ
บทสวดธรรมจักร
แบบย่อ
อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง
บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (แบบย่อ)
สัมพุชฌิตวา ตะถาคะโต
ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ
ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง
สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต
โลเก อัปปะฏิวัตติยัง
ยัตถากขาตา อุโภ อันตา
ปะฎิปัตติ จะ มัชฌิมา
จะตูสวาริยะสัจเจสุ
วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง
เทสิตัง ธัมมะราเชนะ
สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง
นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง
ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง
เวยยากะระณะปาเฐนะ
สังคีตันตัมภะฌามะ เส ฯ
แบบเต็ม
เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง
วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะ
วัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ
นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน
คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง
อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯกะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถา
คะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะ
มายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต
สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะ
เตนะ อะภิ สัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะ
สะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯอิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยัะสัจจัง ชาติปิ
ทุกขะ ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะ ทุกขะ
โทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกยา ฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว
ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา
นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภิ นันทินี ฯ เสยยะถีทัง ฯ
กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ อิทัง โข ปะนะ
ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจังฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ
อะเสสะวิราคะ นิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะ
สัจจัง ฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมา
อาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯอิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ
อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทพปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก
อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญ
เญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง
อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะ
นุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ฯอิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก
อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทมะโย อะริยะ
สัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก
อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทมะโย อะริยะ
สัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะ
ปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯอิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ฯ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก
อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง
สัจจิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ
วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง
ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ
อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯอิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ
เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะ
ปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ
อาโลโก อุทะปาทิฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะ
คามินี ปะฏิปะทา อะริสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุ
ทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะ
ปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา
อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ
วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัส
สะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว
สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะ
พราหมะณิยา ปายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมา
สัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ ยะโต จะ โข เม
เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง
ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง
อะโหสิ ฯ อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะ
มะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ
ปัจจัญญาสิง ฯ ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง ปุทะปาทิ
อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิปุ
นัพภะโวติ ฯ อิทะมะโว จะ ภะคะวาฯ อัตตะมะนา
ปัญจะวัคคิยา ภิขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ
อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิ ภัญญะมาเน อายัส
มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง
อุทะปาทิ ยังกิญจิ สุมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ฯปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา
สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยังบ อิสิปะ
ตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง
อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ
วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิวา โลกัสมินติ ฯภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา จาตุมมะหาราชิกา
เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯจาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง
สัททัง สุตวา ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ยามา เทวา สัททะ
มะนุสสาเวสุง ฯ ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ตุสิตา
เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง
สุตวา นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา ปะระนิมมิตะ
วะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะ
วะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา พรัหมะ
ปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พรัหมะปาริ
สัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พรัหมะปะโรหิตา
เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พรัหมะปะโร
หิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา มะหาพรัหมา เทวา
สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ มะหาพรัหมานัง เทวานัง สัททัง
สุตวา ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา อัปปะมาณาภา
เทวา สัททะมะนุสสา เวสุง ฯ อัปปะมาณาภานัง เทวา
นัง สัททัง สุตวา อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสา
เวสุง ฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ปะริต
ตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตะสุภา
นัง เทวานัง สัททัง สุตวา อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะ
มะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง
สุตวา สุภะกิณหะกา เทวา สัททะ มะนุสสาเวสุง ฯ
สุภะกิณหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา เวหัปผะลา
เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง
สัททัง สุตวา อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตวา อะตัปปา เทวา
สัททะมะนุสสา เวสุง ฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง
สุตวา สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา สุทัสสี เทวา
สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เอตัมภะ
คะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุต
ตะรรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิ วัตติยัง สะมะ
เณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ
วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯอิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ
บทสวดธรรมจักร (แบบเต็ม)
พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ อะยัญจะ ทะสะสะ
หัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ
อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ
อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ อะถะโข ภะคะวา
อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ
วะตะ โภ โกณฑัญโญติ อิติหิทัง อายัสมะโต โกณฑัญ
ญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตววะ นามัง อะโหสีติ ฯ
คำแปลบทสวดธรรมจักร
คำแปล – บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
อะนุตตะรัง อภิสัมโพธิง สัมพุชฌิตวาตะถาคะโต
พระตถาคตเจ้านั้นได้ตรัสรู้ ซึ่งถึงพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเเล้ว
ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง สัมมะ เทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง
เมื่อต้องการจะประกาศธรรมที่ใครๆ ยังมิได้ให้เกิดขึ้นแล้วในโลก ให้เป็นไปโดยความชอบแท้ได้ทรงแสดงถึงพระอนุตตรธรรมจักรใดก่อน
ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฏิปัตติ จะ มัชฌิมา จะตู สวาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง
คือในธรรมจักรใดพระองค์ตรัสซึ่งที่สุด ๒ ประการ เเละข้อปฏิบัติอันเป็นกลางเเละปัญญาอันรู้เห็นอันหมดจดเเล้วในอริยสัจทั้ง ๔
เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัม ภะณามะ เสฯ
เราทั้งหลายจงสวดธรรมจักรนั้นที่พระองค์ผู้ธรรม ราชาทรงแสดงแล้ว ปรากฏโดยชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นสูตรประกาศ พระสัมมาสัมโพธิญาณ อันพระสังคีติกาจารย์ร้อยกรองไว้โดยบาลีไวยยากรณ์ เทอญ
คำแปล – บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
(หันทะมะยัง ธัมมะจักกัปปะวัตตนะสุตตัง ภะณามะเส)
เอวัมเม สุตังฯ
ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะเตนะ มิคะทาเยฯ
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี
ตัต๎ระโข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิฯ เท๎วเม ภิกขะเว อันตา
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนเเก่พระภิกษุปัญจวัคคีย์อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ อย่างนี้
ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค
อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือการประกอบตนให้หมกมุ่นในกามทั้งหลาย
หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
การกระทำตนให้ลำบาก ซึ่งเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วย ประโชน์ ๑
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฎิปะทา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี
ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำจักขุให้เกิด ทำญาณให้เกิด
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการรู้พร้อม เพื่อนิพพาน
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็หนทางสายกลาง ที่ตถาคตได้ตรัสรู้เเล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
ทำจักขุให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการรู้พร้อม เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโคฯ เสยยะถีทังฯ
หนทางสายกลางนั้น คืออริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เเหละ ได้เเก่สิ่งเหล่านี้คือ
(๑) สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ
(๒) สัมมาสังกัปโป
ความดำริชอบ
(๓) สัมมาวาจา
วาจาชอบ
(๔) สัมมากัมมันโต
การงานชอบ
(๕) สัมมาอาชีโว
เลี้ยงชีพชอบ
(๖) สัมมาวายาโม
ความเพียรชอบ
(๗) สัมมาสติ
ความระลึกชอบ
(๘) สัมมาสะมาธิฯ
ความตั้งใจชอบ
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือหนทางสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
ทำจักขุให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการรู้พร้อม เพื่อนิพพาน
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจังฯ ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้เเลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์
โสกะปะริเทวะ ทุกขะ โทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกข
ความเศร้าโศกเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับเเค้นใจก็เป็นทุกข์
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขาฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจังฯ ยายัง ตัณหา
โดยย่นย่อ อุปาทันขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้เเลเป็น ทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหาอันเป็น
โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภินันทินีฯ
เหตุให้ต้องเกิดอีก ประกอบด้วย ความกำหนัดเเละด้วยอำนาจของความพอใจ ความเพลิดเพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ
เสยยะถีทังฯ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหาฯ
ได้เเก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจังฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายข้อนี้เเลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจคือ การดับ การคลายตัณหา โดยไม่ให้มีส่วนเหลือ
จาโค ปะฎินิสสัคโค มุตติ อะนาละโยฯ
การสละตัณหา การละเลิกตัณหา การปล่อยตัณหา การไม่อาลัยเกี่ยวข้องด้วยตัณหา
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฎิปะทา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้เเลเป็นทุกขนิโรธคามินี
อะริยะสัจจังฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโคฯ เสยยะถีทังฯ
ปฎิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ กล่าวคือ
อะริยะสัจจังฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโคฯ เสยยะถีทังฯ
ปฎิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ กล่าวคือ
(๑) สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ
(๒) สัมมาสังกัปโป
ความดำริชอบ
(๓) สัมมาวาจา
วาจาชอบ
(๔) สัมมากัมมันโต
การงานชอบ
(๕) สัมมาอาชีโว
เลี้ยงชีพชอบ
(๖) สัมมาวายาโม
ความเพียรชอบ
(๗) สัมมาสติ
ความระลึกชอบ
(๘) สัมมาสะมาธิฯ
ความตั้งใจชอบ
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี่คือ ทุกขอริยสัจ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้เเลควรกำหนดรู้
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้ เราก็ได้กำหนดรู้เเล้ว
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี่คือ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้เเล ควรละเสีย
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้แล เราได้ละเเล้ว
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี่คือ ทุกขนิโรธอริยสัจ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้เเล ควรทำให้แจ้ง
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้เเล เราทำให้แจ้งเเล้ว
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี่คือ ทุกขนิโรธอริยสัจ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้เเล ควรทำให้แจ้ง
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นเเล้ว ญาณได้เกิดขึ้นเเล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นเเล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
วิชชาได้เกิดขึ้นเเล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นเเล้วเเก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้เเล เราทำให้เจริญเเล้ว
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดี เพียงใด
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิงฯ
พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เพียงนั้น
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฎฎัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะ-นุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิงฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติฯ อิทะมะโว จะ ภะคะวาฯ อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุงฯ
อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่าความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็มีใจยินดีเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติฯ
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังตรัสภาษิตนี้ อยู่ธรรมจักขุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว
ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติฯ
เหล่าภุมมเทวดา ได้ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่านั่น พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศ ให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก จะประกาศไม่ได้ ดังนี้
ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้วก็ได้ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทวดาชั้นดาวดึงส์ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้วก็ได้ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทวดาชั้นยามา ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ได้ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทวดาชั้นดุสิต ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นยามาแล้ว ก็ได้ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทวดาชั้นนิมมานรดี ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นดุสิตแล้ว ก็ได้ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นนิมมานรดีแล้ว ก็ได้ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา พรัหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
เทวดาที่นับเนื่องในหมุ่พรหมได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตสวัตดีแล้ว ก็ป่าวร้องต่อๆ กันไปว่านั่น พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่สามารถให้เป็นไปได้ดังนี้
อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ
ชั่วขณะกาลครู่หนื่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลกด้วยประการฉะนี้แล ทั้งหมื่นโลกธาตุนื้ได้หวั่นไหว สะเทือนสะท้านลั่นไป
อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ
ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ปรากฏแล้วในโลก
อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวังฯ อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ
ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระอุทานว่า
อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติฯ อิติหิทัง อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตว๎วะ นามัง อะโหสีติฯ
ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า ‘อัญญาโกณฑัญญะ’ นี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.
บทสวดธรรมจักร ดีอย่างไร
“บทสวดธรรมจักร” หรือ “สวดมนต์จักร” เป็นบทสวดธรรมที่แสดงถึงความสงบนิ่งในจิตใจและยึดเหนี่ยวที่เป็นการทำให้จิตใจของเราผ่องใส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาวิปัสสนาและธรรมะของพุทธศาสนา บทสวดนี้มักถูกนำมาสวดในงานบุญที่จัดขึ้นในวันพระศรีมหาธรรมจักร ซึ่งเป็นการสวดบูชากำเนิดของพระพุทธเจ้าที่มีความสำคัญในเชิงพุทธศาสนา การสวดบทสวดธรรมจักรเป็นการให้ความรู้สึกในความศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนาและสงบใจ โดยบทสวดมีเนื้อหาเกี่ยวกับการพูดถึงคุณค่าของพระพุทธเจ้าและธรรมบริสุทธิ์ เป็นการนำเสนอคุณค่าของการให้เกียรติและนำศีลธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตค่ะ
นิยมสวดในโอกาสใด
การสวดบทสวดธรรมจักรเป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธาของแต่บุคคลที่ต้องการบูชาในพระธรรมศาสนา สวดบทสวดธรรมจักรจะช่วยให้ความสงบและความมั่นใจในการใช้ชีวิต ที่ทั้งสติและปัญญาที่ดี และช่วยให้เรามีแนวทางในการตัดสินใจและดำเนินชีวิตอย่างมีสติและอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นการอธิบายถึงคุณค่าของความเจริญรุ่งเรืองและความสมดุลในการดำเนินชีวิตที่ดีอย่างมีความสุขในทางที่แท้จริง นิยมสวดในงานบุญที่จัดขึ้นในวันพระศรีมหาธรรมจักร